ครั้งแล้วครั้งเล่าที่ Bitcoin ถูกมองว่าเข้าสู่ภาวะฟองสบู่ สิ่งนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งเนื่องจากการเติบโตอย่างรวดเร็วของอัตราแลกเปลี่ยน ถ้าย้อนดูในปีที่ผ่านมาจะเห็นว่าราคา Bitcoin ได้เพิ่มสูงขึ้นกว่า 300%
แน่นอนว่ากราฟที่พุ่งทะยานขึ้นย่อมทำให้หลายคนสงสัยว่า
เงินคริปโตเป็นฟองสบู่ที่รอวันแตกหรือไม่และถ้าใช่ฟองสบู่จะแตกเมื่อไหร่
ลองหาคำตอบด้วยการวิเคราะห์ความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญหลายๆ คน แต่ก่อนอื่นมาเริ่มต้นด้วยการตอบคำถามที่สำคัญอีกข้อ
จริงๆ แล้วฟองสบู่คืออะไร
ไฮแมน ฟิลิป มินสกี (Hyman Philip Minsky) นักเศรษฐศาสตร์ได้แบ่งวงจรของการเกิดฟองสบู่ออกเป็น 5 ขั้น ได้แก่
- การประเมินค่า
- เวลา
- เปลี่ยนผ่าน (Displacement)
- พุ่งทะยาน (Boom)
- เพ้อคลั่ง (Euphoria)
- ฟันกำไร (Profit Taking)
- ร่วงหนัก (Bust)
1. เปลี่ยนผ่าน (Displacement) ในขั้นนี้ นักลงทุนเริ่มหลงใหลกับการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในตลาด เช่น เทคโนโลยีใหม่อย่างบล็อกเชน
2. พุ่งทะยาน (Boom) ปรากฏการณ์ดังกล่าวเริ่มได้รับความสนใจจากสาธารณชนมากขึ้น ผู้คนให้ความสนใจมากขึ้น แชร์ข้อมูลมากขึ้น ทำให้นักลงทุนรายใหม่จำนวนมากเข้ามาเพราะกลัวตกขบวนรถ
3. เพ้อคลั่ง (Euphoria) สื่อให้ความสนใจ และการซื้อปริมาณมากก็เริ่มขึ้น ไม่มีใครพยายามเข้าใจว่าสินทรัพย์ “ถูก” หรือ “แพง” อีกต่อไป เพียงแค่ซื้อเอาไว้ก่อน
4. ฟันกำไร (Profit Taking) ในขั้นนี้นักลงทุนที่เชี่ยวชาญจะเริ่มออกมา ส่วนที่คนมีประสบการณ์น้อยก็ยังคงถือเอาไว้เพราะคาดว่าสินทรัพย์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง
5. ร่วงหนัก (Bust) นี่คือช่วงที่ฟองสบู่แตก ซึ่งจะเห็นการเคลื่อนไหวขาลงบนกราฟที่ไม่สามารถหยุดได้ เป็นอันจบเกม
มองย้อนกลับไปที่กราฟ Bitcoin ความกังวลของนักวิเคราะห์เริ่มชัดเจน
กราฟBitcoin ดูเหมือนภาวะฟองสบู่
ลองมาดูกันอย่างละเอียดมากขึ้นเพื่อทำความเข้าใจว่าฟองสบู่มีลักษณะอย่างไร
คำวิจารณ์
ถ้าคุณค้นหาใน Google ว่า “Bitcoin เกิดฟองสบู่หรือไม่” จะเห็นข้อมูลที่ขัดแย้งกันอย่างมาก
หรือกล่าวได้ว่า คนที่เชื่อมั่นกับเงินดิจิตอลจะบอกว่าสัญญาณฟองสบู่ Bitcoin เป็นสัญญาณลวง อย่างไรก็ตาม ถึงแม้คุณมั่นใจในเงินดิจิตอล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าตลาดเงินดิจิตอลไม่ใช่ฟองสบู่ของการเก็งกำไร (Speculative)
ประเด็นของคนที่มอง Bitcoin ในแง่ร้ายเชื่อว่า
Bitcoin เป็นภาวะ “ฟองสบู่ตัวแม่” (The Mother of All Bubbles) และการเติบโตของบิทคอยน์จะทำให้เกิดความลุ่มหลงในการเก็งกำไรรูปแบบการเติบโตที่คล้ายกันเคยเกิดวิกฤตหลายครั้งในอดีตที่ผ่านมาเช่นฟองสบู่dot.com ช่วงปลายของยุค1990 และวิกฤตการณ์บ้านที่อยู่อาศัยปี2008 ในสหรัฐอเมริกา
ในความเป็นจริง ฟองสบู่แตกของ Bitcoin เคยเกิดขึ้นมาแล้วในปี 2013 และ 2017
ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้มอง Bitcoin ในแง่ดีเชื่อว่า
Bitcoin จะยังคงอยู่ต่อให้ราคาร่วงลงเหลือ$1 ก็ตามเมื่อฟองสบู่แตกจะทำให้สินทรัพย์ที่อิงกับมันหายไปหรือล้มละลายซึ่งไม่มีผลกับสกุลเงินดิจิตอล
เราได้เปรียบเทียบความคิดเห็นของผู้เชี่ยวชาญทางการเงินที่พูดในสื่อต่างๆ เพื่อให้คุณเห็นสถานการณ์รอบด้านแบบ 360 °
🤬 | 😍 |
ตลาดเงินดิจิตอลเป็นเรื่องยุ่งเหยิง เต็มไปด้วยนักเก็งกำไร และยังคงอยู่ในระดับการเทรดเท่านั้น ดูไม่มีอนาคตและจะล่มสลายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ สิ่งที่พุ่งทะยานขึ้นสูงขนาดนั้น เร็วขนาดนั้น ไม่ใช่เรื่องปกติแน่นอน | Bitcoin มีความสัมพันธ์กับสกุลเงินอื่นๆ อย่างไม่ปกติ จำไว้ว่าสกุลเงินดิจิตอลเกิดขึ้นมาเพื่อตอบสนองความท้าทายใหม่ๆ ที่ระบบธนาคารแบบเก่าไม่สามารถจัดการได้อีกต่อไปตลาดเงินดิจิตอลจะมีเสถียรภาพเมื่อสกุลเงินดิจิตอลเริ่มเป็นสิ่งที่ใช้แก้ปัญหาในโลกแห่งความเป็นจริง และได้รับการยอมรับจากสังคมว่าเป็นวิธีการชำระเงินที่ถูกต้อง |
เงินที่ไม่มีอยู่จริงจะมีค่ามากไปกว่าน้ำมันและทองคำได้อย่างไร เมื่อเกิดการเพิ่มขึ้นของราคาสินทรัพย์ที่ไม่เกี่ยวข้องกับมูลค่าที่แท้จริงของสินทรัพย์ แปลว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับฟองสบู่อย่างแน่นอน | เงินดิจิตอลเป็นเทคโนโลยีใหม่ที่พัฒนาควบคู่ไปกับความต้องการ ยังไม่มีใครรู้ว่ามูลค่าที่แท้จริงของ Bitcoin คือเท่าไร เราไม่รู้ว่าจะนำไปใช้ได้ที่ไหนและอย่างไร ทำให้ไม่สามารถประเมิน Bitcoin ได้ด้วยระบบการวัดและเทคนิคแบบเดิม |
ตลาดเงินดิจิตอลไม่มีการควบคุมอย่างถูกกฎหมาย อย่าเชื่อถือสกุลเงินที่ไม่ได้รับการรองรับจากกฎระเบียบของรัฐบาล | การควบคุมดูแลเป็นเพียงเรื่องของเวลา บางประเทศพยายามบังคับใช้กฎหมายบางอย่างเกี่ยวกับเงินดิจิตอล |
ฟองสบู่เงินคริปโตเคยแตกมาก่อน และมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นอีกครั้ง | แตกต่างจากฟองสบู่ในอดีต ทุกครั้งที่ฟองสบู่เงินดิจิตอลแตก ฟองสบู่อีกอันจะเข้ามาแทนที่ นอกจากนี้เมื่อเทียบกับเหตุการณ์ในปี 2017 – 2018 ถือว่าตอนนี้ Bitcoin เติบโตขึ้นมาก ดังนั้นจึงเป็นเรื่องที่แตกต่างไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง ตลาดเงินดิจิตอลไม่คงที่ เนื่องจากบทบาท ราคา และกฎระเบียบยังไม่ได้รับการกำหนดขึ้นมา จนกว่าจะถึงจุดนั้น ตลาดนี้จะแกว่งตัวไปมา นี่คือขั้นตอนปกติของการวิวัฒนาการ |
แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับตลาดเงินดิจิตอล
หลายคนมีความคิดเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้แตกต่างกันไป และยากที่จะคาดเดาว่าทิศทางของตลาดเงินดิจิตอลจะเป็นอย่างไร ความเชื่อมั่นโดยรวมค่อนข้างเป็นบวก ตลาดยังใหม่และยังคงมีการปรับตัว ซึ่งทำให้เกิดความผันผวนและความไม่แน่นอน อย่างไรก็ตาม มันอาจจะดีขึ้นเมื่อภาคส่วนต่างๆ ตระหนักถึงมุมมองของ Bitcoin รวมถึงบทบาท ราคา และกฎระเบียบทางกฎหมายที่กำหนดขึ้นมา
นั่นไม่ได้หมายความว่าราคาของ Bitcoin จะไม่ลดลง ราคาบิทคอยน์อาจร่วงและอาจเป็นการร่วงลงที่รวดเร็ว เจ็บปวด และซ้ำรอยเดิม
สิ่งสำคัญตอนนี้คืออย่าตื่นตระหนกกับคำว่า “ฟองสบู่” มากเกินไป กระบวนการที่กำหนดลักษณะฟองสบู่แบบเดิมไม่สามารถใช้ได้กับ Bitcoin เสมอไปเนื่องจากลักษณะที่ผิดปกติของมัน นักลงทุนจำเป็นต้องตรวจสอบการเคลื่อนไหวของราคาล่าสุด ผลตอบแทนที่สูงไม่ได้หมายความว่าจะเป็น “ฟองสบู่” โดยอัตโนมัติ เพราะฟองสบู่ไม่ได้เกี่ยวกับราคา แต่มันคือราคาเทียบกับมูลค่า ในกรณีของ Bitcoin นั้นยังไม่มีการเปิดเผยมูลค่าที่แท้จริง
ระยะสั้น
- นักลงทุนรายใหม่จะเข้ามาในตลาดและซื้อเงินดิจิตอลใหม่ๆ
- เหรียญเงินดิจิตอลอื่นๆ จะมีมูลค่าที่แท้จริงและเริ่มเป็นประโยชน์ ซึ่งอาจช่วยรักษาเสถียรภาพของตลาดเงินดิจิตอลโดยรวม
- องค์กรขนาดใหญ่ที่สุดในภาคการเงินจะเริ่มเข้าสู่ตลาดตามด้วยระบบการชำระเงินของ PayPal ย้อนกลับไปในปี 2017 ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผู้ค้ารายย่อย ตอนนี้มหาวิทยาลัยใหญ่ๆ และแม้แต่กองทุนบำนาญก็มีเงินบริจาคเป็น BTC ซึ่งเป็นเรื่องยากกว่าเดิมมากที่การพักตัวจะเกิดขึ้นตอนนี้เหมือนกับที่เคยเกิดขึ้นในปี 2017
ระยะยาว
- การขยายโครงสร้างพื้นฐานการลงทุน
- การเกิดขึ้นของนักลงทุนสถาบันจำนวนมากขึ้น
- สินทรัพย์ดิจิตอลมากกว่า 2,000 รายการในปัจจุบันจะลดเหลือเพียงไม่กี่ร้อยที่มาพร้อมกับวิวัฒนาการของมนุษย์ผ่านยุคโลกาภิวัตน์ ในฐานะสินทรัพย์ประเภทแรก Bitcoin มีโอกาสที่จะได้เป็นเงินดิจิตอลหนึ่งในไม่กี่ร้อยที่ว่า
- Bitcoin จะเป็นตัวเต็งที่เข้ามาแทนที่เงินดอลลาร์ สกุลเงินของสหรัฐอเมริกาอาจสูญเสียสถานะสกุลเงินสำรองให้กับเงินดิจิตอล เนื่องจากสกุลเงินดิจิตอลเหมาะสมมากกว่าที่จะเป็นวิธีการชำระหนี้และการออมเนื่องจากการใช้บล็อกเชน
อุปสรรคที่อาจป้องกันการแพร่กระจายของสกุลเงินดิจิตอล
- ความท้าทายใหม่ที่เกี่ยวข้องกับกฎระเบียบของรัฐบาล รวมถึงกฎระเบียบที่เข้มงวดมากขึ้นในสหรัฐอเมริกา
- การแข่งขันกับธนาคารขนาดใหญ่ รวมถึงสกุลเงินของธนาคารกลาง เห็นได้ชัดว่าระบบธนาคารที่มีอยู่จะต้านทานภัยคุกคามที่มาจากสกุลเงินที่กระจายอำนาจได้เนื่องจากพวกเขาพอใจกับสิ่งที่เป็นอยู่
สรุป
ทั้งฝ่ายที่คลางแคลงใจและผู้ที่เชื่อมั่นต่างก็มีความคิดเห็นที่น่าสนใจ
จะเชื่อหรือไม่เป็นหน้าที่ของนักลงทุนที่ต้องตัดสินใจเอง
ไม่ว่าจะฟองสบู่หรือไม่ ประโยชน์ของการเทรดกับ IQ Option คือนักเทรดสามารถประสบความสำเร็จได้โดยไม่ต้องคำนึงถึงการเคลื่อนไหวของราคา เพียงแค่ให้ความสำคัญกับปัจจัยทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน และอย่ามองข้ามภาพรวม นอกจากนี้ให้คำนึงถึงความเสี่ยงต่างๆ Bitcoin มีความผันผวนอย่างมาก ดังนั้นจึงไม่ควรลงทุนมากกว่าการสูญเสียที่ยอมรับได้
คุณคิดว่า Bitcoin จะเกิดฟองสบู่หรือเป็นเงินดอลลาร์ทางเลือกใหม่