เป้าหมายสำคัญของกลยุทธ์การเทรดตามโมเมนตัมคือมองหาคลื่นในตลาดแล้วเข้าเทรดในช่วงเวลาที่เหมาะสม
แต่จะรู้ได้อย่างไรว่าคลื่นจะมาตอนไหน? ตัวชี้วัดโมเมนตัมช่วยบอกได้ มาดูตัวชี้วัดโมเมนตัมที่ดีที่สุด สูตรคำนวณ และวิธีใช้งานเพื่อติดตามคลื่นตลาด
การเทรดตามโมเมนตัมคืออะไร
การเทรดตามโมเมนตัมเกี่ยวข้องกับหลักการง่ายๆ
● ค้นหาแนวโน้ม
● ติดตามแนวโน้ม
● ออกก่อนที่แนวโน้มจะหายไป
ประโยชน์ของกลยุทธ์นี้คือสามารถนำไปปรับใช้ได้กับทั้งการเดย์เทรดระยะสั้นและแผนระยะยาว แต่ความสำเร็จของการทำกำไรขึ้นอยู่กับการใช้กลยุทธ์ตัวชี้วัดโมเมนตัมที่ถูกต้อง เพื่อยืนยันว่าแนวโน้มแข็งแกร่งแค่ไหนและมีทิศทางอย่างไร
IQ Option มีประเภทตัวชี้วัดโมเมนตัมพิเศษที่ประกอบด้วยเครื่องมือที่ดีที่สุดสำหรับการค้นหาโมเมนตัม

นักเทรดสามารถทดสอบเครื่องมือต่างๆ เพื่อค้นหาโซลูชันที่เหมาะกับตนเอง แต่ก่อนอื่นต้องเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการทำงาน
7 ตัวชี้วัดโมเมนตัมที่ดีที่สุด
เราเคยพูดถึงตัวชี้วัดโมเมนตัมยอดนิยมกันไปแล้วบางส่วน เช่น Awesome Oscillator ตอนนี้จะอธิบายถึงตัวชี้วัดอื่นๆ ที่อาจเป็นประโยชน์สำหรับการเทรดตามโมเมนตัม
1. Chande Momentum Oscillator (CMO)
ให้มอง CMO เหมือนเป็นญาติของ RSI (Relative Strength Index) ตัวชี้วัดนี้ได้รับการสร้างขึ้นโดย Tushar Chande ซึ่งจะวัดค่าความแตกต่างระหว่างกำไรและขาดทุนล่าสุด แตกต่างจาก RSI ตรงที่ไม่ได้อยู่ในช่วง 0 และ 100 ทำให้อ่อนไหวต่อการเคลื่อนไหวของราคาที่เกิดขึ้นฉับพลันมากกว่า
ฟีเจอร์หลัก
● จุดประสงค์ หาสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปในตลาด
● การตั้งค่า การตั้งค่าส่วนใหญ่จะใช้ช่วงเวลา 14 แต่ช่วงเวลาที่สั้นกว่า (เช่น 9) สามารถใช้ได้ผลเช่นกันกับตลาดที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็ว
● สัญญาณ
○ มากกว่า +50 = สินทรัพย์อยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไป เป็นโมเมนตัมขาขึ้นที่แข็งแกร่ง
○ ต่ำกว่า -50 = โมเมนตัมขาลงที่แข็งแกร่ง สินทรัพย์อยู่ในสภาวะขายมากเกินไป

แตกต่างกันอย่างไร
CMO ต่างจาก RSI และไม่เหมือนตัวชี้วัดโมเมนตัมทั่วไป หมายความว่าจะตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงราคาแบบไดนามิกมากขึ้น ทำให้เหมาะกับตลาดที่มีความผันผวน
2. Intraday Momentum Index (IMI)
IMI เป็นสิ่งที่ผสมระหว่างตัวชี้วัดโมเมนตัมและเครื่องมือวิเคราะห์แท่งเทียน เหมาะกับนักเทรดแบบเดย์เทรดที่ต้องการค้นหาความเคลื่อนไหวระยะสั้น
ฟีเจอร์หลัก
● จุดประสงค์ หาสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปในระหว่างวัน
● การตั้งค่า ใช้ค่าเริ่มต้นช่วงเวลา 14 สำหรับหุ้นส่วนมาก
● สัญญาณ
○ IMI > 70 = ซื้อมากเกินไป สัญญาณขายที่เป็นไปได้
○ IMI > 30 = ขายมากเกินไป สัญญาณซื้อที่เป็นไปได้

แตกต่างกันอย่างไร
IMI ไม่เหมือนกับตัวชี้วัดโมเมนตัมปกติ ตัวชี้วัดเป็นการผสมผสานความต่างของราคาเปิด-ปิด และช่วงราคาโดยรวมของวัน ทำให้มีความแปลกใหม่สำหรับการเดย์เทรด
3. ตัวชี้วัดโมเมนตัม (ธรรมดาและเรียบง่าย)
เครื่องมือนี้เป็นเหมือนบิดาแห่งตัวชี้วัดโมเมนตัม ซึ่งจะวัดอัตราการเปลี่ยนแปลงของราคาในช่วงเวลาที่ระบุ
ฟีเจอร์หลัก
● จุดประสงค์ วัดความเร็วของการเคลื่อนไหวราคา
● การตั้งค่า การตั้งค่าช่วงเวลา 10 หรือ 14 เหมาะที่สุดกับตลาดส่วนใหญ่
● สัญญาณ
○ มากกว่าศูนย์ = โมเมนตัมขาขึ้น
○ น้อยกว่าศูนย์ = โมเมนตัมขาลง

แตกต่างกันอย่างไร
เป็นเครื่องมือที่เข้าใจง่ายที่สุดสำหรับนักเทรดโมเมนตัม หากยังใหม่กับกลยุทธ์การเทรดตามโมเมนตัม ให้เริ่มต้นที่นี่
4. ตัวชี้วัด Momentum Strength
ตัวชี้วัดนี้เป็นเหมือนเกจวัดโมเมนตัมติดเทอร์โบ ซึ่งไม่ได้แสดงแค่แนวโน้ม แต่ยังบอกว่าแนวโน้มแข็งแกร่งแค่ไหน
ฟีเจอร์หลัก
● จุดประสงค์ บอกปริมาณความแรงของโมเมนตัมตลาด
● การตั้งค่า ปรับช่วงเวลาอ้างอิงตามสไตล์การเทรด (ปรับให้สั้นลงสำหรับการเดย์เทรด ปรับให้นานขึ้นสำหรับสวิงเทรด)
● สัญญาณ
○ ค่าเพิ่มขึ้น = แข็งแกร่งขึ้น
○ ค่าลดลง = แนวโน้มอ่อนแรง
คุณสามารถใช้ตัวชี้วัดนี้ร่วมกับตัวชี้วัดโมเมนตัมพื้นฐานเพื่อยืนยันสัญญาณ

แตกต่างกันอย่างไร
ตัวชี้วัดโมเมนตัมส่วนมากจะเน้นไปที่ทิศทาง แต่ตัวชี้วัดนี้จะโฟกัสความแข็งแกร่ง ทำให้มั่นใจว่าแนวโน้มจะยั่งยืนแค่ไหน
5. Price Momentum Oscillator (PMO)
PMO เป็นเหมือนตัวชี้วัดโมเมนตัมแบบวิถีเซนที่นำสิ่งรบกวนออกไป ช่วยกำจัดข้อมูลรบกวนและทำให้มองเห็นสัญญาณที่ช่วยตัดสินใจได้อย่างชัดเจน
ฟีเจอร์หลัก
● จุดประสงค์ หาแนวโน้มโมเมนตัมที่เรียบขึ้น
● การตั้งค่า ใช้ช่วงเวลา 35 มาตรฐานสำหรับสวิงเทรดหรือปรับเปลี่ยนค่าสำหรับกรอบเวลาที่สั้นลง
● สัญญาณ
○ ตัดเหนือเส้นศูนย์ = สัญญาณขาขึ้น
○ ตัดต่ำกว่าเส้นศูนย์ = สัญญาณขาลง
แตกต่างกันอย่างไร
กลไกปรับความเรียบช่วยจะลดสัญญาณลวง ทำให้เหมาะกับตลาดที่ผันผวน
6. Belkhayate Timing Indicator (BTI)
เครื่องมือพิเศษนี้ได้รับการพัฒนาโดย Gilbert Belkhayate ทำหน้าที่ค้นหาสภาวะซื้อมากเกินไปและขายมากเกินไปด้วยความแม่นยำ ช่วยให้นักเทรดกะเวลาเข้าออกตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ การผสมผสาน Belkhayate Timing Indicator เข้ากับกลยุทธ์ที่ใช้จะช่วยให้สามารถหาจังหวะเทรดและลดสัญญาณลวง
ฟีเจอร์หลัก
● จุดประสงค์ หาสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปเพื่อคาดการณ์จุดกลับตัว
● การตั้งค่า สามารถใช้การตั้งค่ามาตรฐานสำหรับตลาดส่วนใหญ่ แต่นักเทรดที่มีประสบการณ์สามารถปรับให้เหมาะกับสินทรัพย์หรือกรอบเวลาที่ต้องการ
● สัญญาณ
○ เมื่อตัวชี้วัดเคลื่อนที่ขึ้นเหนือเกณฑ์ขอบบน ตลาดมีโอกาสจะอยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไป ให้พิจารณาทำการชอร์ตหรือออกจากดีล
○ หากต่ำกว่าเกณฑ์ขอบล่าง ตลาดจะอยู่ในสภาวะขายมากเกินไป ให้มองหาโอกาสซื้อ

แตกต่างกันอย่างไร
BTI โดดเด่นตรงที่สามารถเน้นโซนจุดกลับตัวที่เป็นไปได้ และยังแสดงให้เห็นตลาดที่เปลี่ยนแปลงไปในช่วงเวลาต่างๆ ทำให้เหมาะกับการปรับใช้ในสภาวะที่ตลาดเปลี่ยนแปลง ตัวชี้วัดนี้ต่างจากออสซิลเลเตอร์ที่เรียบง่ายกว่า ซึ่งจะปรับเกณฑ์แบบไดนามิก ช่วยให้เทรดตามโมเมนตัมที่มีความละเอียดอ่อน
7. Stochastic Momentum Index (SMI)
SMI เป็นเหมือนกับ Stochastic Oscillator ที่ได้รับการปรับปรุง ซึ่งจะให้มุมมองที่ละเอียดมากขึ้นของโมเมนตัมด้วยการติดตามราคากับช่วงเวลา
ฟีเจอร์หลัก
● จุดประสงค์ หาระดับซื้อมากเกินไปและขายมากเกินไปด้วยความแม่นยำ
● การตั้งค่า สามารถใช้การตั้งค่าเริ่มต้น แต่การปรับเรียบจะช่วยเพิ่มความชัดเจนยิ่งขึ้น
● สัญญาณ
○ เส้นสีแดงตัดเส้นสีเขียวเหนือ +40 = ซื้อมากเกินไป มีโอกาสขายที่เป็นไปได้
○ เส้นตัดต่ำกว่า -40 = ขายมากเกินไป มีโอกาสซื้อที่เป็นไปได้

แตกต่างกันอย่างไร
มีความอ่อนไหวมากกว่าเมื่อเทียบกับ Stochastic แบบเดิม ทำให้เป็นเครื่องมือที่แม่นยำกว่าสำหรับการหาจังหวะเข้าออกจากดีล
ตัวชี้วัดโมเมนตัมใดดีที่สุด
ไม่มีตัวชี้วัดที่สามารถใช้ได้ครอบจักรวาล ตัวชี้วัดแต่ละตัวมีความโดดเด่นตามสภาวะตลาดและกรอบเวลาที่แตกต่างกัน กลยุทธ์ตัวชี้วัดโมเมนตัมที่ดีมักเกี่ยวข้องกับการผสานเครื่องมือหลายๆ อย่างเพื่อยืนยันสัญญาณ เช่น
● ใช้ Squeeze Momentum Indicator เพื่อหาโอกาสที่ราคาจะทะลุกรอบ
● ควบคู่กับ Chande Momentum Oscillator สำหรับการยืนยันแนวโน้ม
● เสริมด้วย Price Momentum Oscillator เพื่อกำจัดข้อมูลรบกวน
กลยุทธ์การเทรดตามโมเมนตัม – รวมทุกอย่างเข้าด้วยกัน
นี่คือแผนการเทรดง่ายๆ
- ใช้สูตรตัวชี้วัดโมเมนตัมที่เลือกเพื่อหาแนวโน้ม
- ยืนยันความแข็งแกร่งของแนวโน้มด้วยตัวชี้วัดตัวที่สอง (เช่น Momentum Strength)
- มองหาสัญญาณเข้า เช่น การตัดเส้นศูนย์ หรือการบีบแคบลงเรื่อยๆ
- กำหนดระดับความเสี่ยงที่ชัดเจนเพื่อปกป้องเงิน
การเทรดตามโมเมนตัมเกี่ยวข้องกับการหาความน่าจะเป็นเพื่อใช้ประโยชน์ เลือกเครื่องมือเทรด ปรับแต่งการตั้งค่า และเตรียมรับมือกับคลื่นตลาด!